อาการชัก เป็นอาการที่มีความสำคัญมากอย่างหนึ่ง และพบได้บ่อยในทารกแรกเกิด โดยเฉพาะทารกในหออภิบาลทารกแรกเกิด โดยพบได้ร้อยละ 25 ของทารกที่รับการรักษาในหออภิบาลทารกแรกเกิด ซึ่งร้อยละ 85 เกิดขึ้นภายในอายุ 15 วัน และร้อยละ 65 เกิดขึ้นระหว่างอายุ 2 – 5 วัน (พิมลรัตน์ ไทยธรรมยานนท์, 2545) อาการชักเป็นสิ่งแสดงสิ่งแรกที่พบบ่อยเมื่อสมองเริ่มทำงานผิดปกติ หากปล่อยให้ทารกแรกเกิดชักอย่างรุนแรง ชักติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือชักซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เรื่อยๆ จะเกิดการทำลายในเนื้อสมองของทารกไม่มากก็น้อย ดังนั้นการที่ทารกแรกเกิดมีอาการชักจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องพยายามหาสาเหตุเพื่อแก้ไขต่อไป
ชักเป็นอาการทางคลินิกของระบบประสาทที่ทำงานผิดปกติเป็นพักๆ (paroxysmal) ซึ่งอาจเป็นพฤติกรรมการเคลื่อนไหว และ/หรือเป็นการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราการหายใจ การแกว่งขึ้นลงของความดันโลหิต เป็นต้น การชักที่เกิดขึ้นนี้จะมีความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) ที่เรียกว่าคลื่นไฟฟ้าของการชัก (electrical seizure) ร่วมด้วย หรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ประมาณร้อยละ 60 ของทารกที่มีอาการชัก แต่ไม่มีความผิดปกติของ EEG (พิมลรัตน์ ไทยธรรมยานนท์, 2545) แต่อย่างไรก็ตามทารกแรกเกิดอาจมีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวหลายๆ อย่างที่ดูคล้ายชักได้ เช่น อาการบิดตัว หน้าตาแดง เป็นพักๆ ขากระตุก 1 – 2 ครั้ง ขณะหลับ (myoclonic jerk) อาการคล้ายผวาเมื่อตกใจ (startle reflex) อาการสั่นระรัวของแขน ขา และคาง (jitteriness) เมื่อทารกเคลื่อนไหวและร้องไห้ เป็นต้น
การจำแนกชนิดของการชัก
ปัจจุบันนิยมแบ่งการชักในทารกแรกเกิดเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
- Clinical seizure คือ มีการชักให้เห็นโดยจะมี EEG ผิดปกติหรือไม่ก็ได้
- Electrical seizure คือ มีความผิดปกติของ EEG ที่เรียกว่า คลื่นไฟฟ้าของการชัก แต่มีอาการชักหรือไม่ก็ได้
ลักษณะการชัก
ลักษณะของการชัก แบ่งออกได้เป็น 4 แบบใหญ่ๆ คือ
- Subtle seizure
เป็นอาการชักที่พบมากที่สุดของการชักในทารกแรกเกิด ส่วนใหญ่ไม่มี EEG ผิดปกติ พบในทารกเกิดก่อนกำหนดมากกว่าทารกครบกำหนด ( Blackburn,2003 ) บางครั้งอาการเหล่านี้อาจถูกมองข้ามไป โดยจะมีอาการทั้งทางการเคลื่อนไหว และทางตา เช่น อาการทางตา : ลืมตาค้าง ตากระพริบถี่ๆ ตาจ้องตรง กรอกตาไปมา ในทารกแรกเกิดก่อนกำหนด ส่วนในทารกแรกเกิดครบกำหนดจะมีอาการกรอกตา จ้องไปด้านข้างด้านใดด้านหนึ่ง
อาการทางการเคลื่อนไหว : ถีบขาเหมือนถีบจักรยาน เคี้ยวช้าๆ ปากเบี้ยว อาจพบอาการ แลบลิ้น แกว่งแขนเหมือนกรรเชียงเรือในทารกแรกเกิดครบกำหนด บางครั้งอาจพบอาการหยุดหายใจ แต่อย่างไรก็ตามมีข้อสรุปไว้ว่าการหยุดหายใจ อาจเกิดจากชักได้ ขณะเดียวกันการหยุดหายใจในทารกแรกเกิดก่อนกำหนดส่วนมากไม่ได้เกิดจากการชัก และหากการหยุดหายใจเกิดจากการชัก ในทารกแรกเกิดครบกำหนดอาจพบการมีการเปลี่ยนแปลงของคลื่น ไฟฟ้าสมอง (ทายาท ดีสุดจิต, 2542) - Clonic seizure
การชักแบบนี้มักมี EEG ผิดปกติบ่อยสุดเมื่อเทียบกับการชักแบบอื่นๆ โดยจะมีอาการกระตุกซ้ำๆ เป็นจังหวะ 1 – 2 ครั้ง/วินาที แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ Focal clonic seizure จะกระตุกที่ใบหน้า ลำตัว แขน ขา ด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น และพบบ่อยว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัวขณะและหลังชัก
Multifocal clonic seizure จะมีการกระตุ้นเหมือนแบบแรก หากแต่มีการเคลื่อนที่จากตำแหน่งหนึ่งไปอีกตำแหน่งหนึ่ง เช่น เคลื่อนที่จากแขนไปขา หรือจากขาไปแขน หรือจากซีกหนึ่งไปยังอีกซีกหนึ่ง พบในทารกแรกเกิดครบกำหนดมากกว่า - Tonic seizure
จะมีอาการเกร็ง แข็งค้างอยู่ ซึ่งมีได้ 2 ลักษณะ เช่นกันคือ Focal tonic seizure คือเกร็งเฉพาะที่คอ ลำตัว แขน และ/หรือ แขน ขา ที่ใดที่หนึ่ง มักพบร่วมกับการมีคลื่นไฟฟ้าสมองผิดปกติ
Generalized tonic seizure คือเกร็งทั้งตัว รวมทั้งแขน ขา ทั้งสองข้าง คลื่นไฟฟ้าสมองมักจะปกติ พบได้บ่อยในรายที่มีเลือดออกในช่องสมองอย่างรุนแรง - Myoclonic seizure
การชักลักษณะนี้ต่างจาก clonic seizure ตรงที่การชักลักษณะนี้ จะกระตุกเร็วกว่า และมักจะเกิดเฉพาะกับกล้ามเนื้อกลุ่มพับงอ (flexor group) นอกจากนี้ ยังมีอาการชักที่ควรจะกล่าวถึงอีก 2 ชนิด คือ Silent EEG seizure หมายถึง ลักษณะที่คลื่นไฟฟ้าสมองแสดง electrical seizure แต่ทารกไม่มีอาการชัก มักพบในทารกที่ได้รับยาระงับชัก
การชักในโรคบาดทะยัก ทารกจะมีอาการเกร็งกระตุกอย่างแรงซ้ำถี่ๆ กันทั้งตัว มีขากรรไกร แข็ง หน้ายิ้ม แสยะ หลังแอ่น กล้ามเนื้อหน้าท้อง คอ และหลังแข็งเกร็ง มักพบในบางพื้นที่ในประเทศกำลังพัฒนาที่มีการคลอดและการดูแลสะดือไม่ถูกลักษณะไม่มีการให้ tetanus toxoid แก่มารดาขณะตั้งครรภ์ พบในทารกเกิดครบกำหนดเป็นส่วนใหญ่ และมักจะเริ่มชักหลังอายุ 3 วันไปแล้
ส่วนกลุ่มอาการ jitteriness เป็นกลุ่มอาการเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่การชัก มีลักษณะเด่น คือ ทารกจะมีอาการสั่น บางครั้งอาจเป็นมากถึงกับมีกระตุกกลับไปกลับมาของแขน ขา หรือ คาง แต่กลุ่มอาการนี้จะไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติของตา เช่น ตาจ้องค้าง และจะมีอาการมากขึ้นเมื่อมีการกระตุ้น เช่น เสียง หรือการเคลื่อนไหว อาการจะสงบหรือหายไปเมื่อจับหรือห่อตัวทารกอย่างนุ่มนวล ให้อยู่ในท่าเหมือนอยู่ในโพรงมดลูกของมารดา คือให้แขนงอพับไว้บนอก ขางอพับไว้บนหน้าท้อง กลุ่มอาการ jitteriness จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการหายใจ การเต้นของหัวใจและความดันโลหิต สาเหตุของการเกิดกลุ่มอาการนี้ คือ ระดับแคลเซียมต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ และอาการถอนยา (drug withdrawal)
จะเห็นว่า อาการชักในทารกแรกเกิดมีหลายลักษณะ บางครั้งอาการแสดงที่มองดูเหมือนไม่ใช่อาการชัก กลับเป็นอาการชักชนิดหนึ่ง ในขณะเดียวกันอาการที่มองดูเหมือนเป็นอาการชักกลับไม่ใช่ ดังนั้นพยาบาลควรจะมีความรู้และเข้าใจถึงอาการและชนิดของการชักในทารกแรกเกิด เพื่อจะได้เฝ้าระวังและมีความไวต่อความผิดปกติแต่แรกเริ่ม รายงานแพทย์ได้ทันท่วงที เพื่อแพทย์จะได้นำไปเป็นแนวทางในการวินิจฉัย ให้การรักษาและติดตามประเมินการตอบสนองต่อการรักษาต่อไป
เอกสารอ้างอิง
ทายาท ดีสุดจิต(2542). Neonatal seizure. ในธราธิป โคละทัต และ สุนทร ชัยเผ่าพันธุ์ (บรรณาธิการ). Neonatalogy for pediatricians.( หน้า285- 317). กรุงเทพฯ : พีเอลิฟวิ่ง.
พิมลรัตน์ ไทยธรรมยานนท์. (2545). การดูแลทารกแรกเกิด. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ชัยเจริญ.
Blackburn,S.T.(2003 ) . Assessment and management of the neurological system. In
Kenner,C., & Lott, J.W. (Eds. ) Comprehensive neonatal nursing : a physiologic
Perspective ( 3 rd ed. ) (pp 624 – 660 ). St.Louis : Mosby.